Group Link

Blogger  RSS กูเกิล+ Pinterest instagram Twitter เฟซบุ๊ค E-MAIL wordpress

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เปิดศึก ห้างสรรพสินค้า (ตอนที่ 2 )


ทุกวันนี้ พฤติกรรมความเป็นอยู่ของผู้คนในเมือง (หลวง) ดูจะแข่งขัน ดิ้นรน เร่งรีบ เพราะความแออัด บีบรัดทางเศรษฐกิจ และข้อจำกัดด้านเวลา ชาวกรุงส่วนใหญ่จึงนิยมบริโภคและอุปโภคในศูนย์การค้าในลักษณะ one stop services…และนิยมพักผ่อน (Relax) กันในช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ขนาดยักษ์ ซึ่งครบเครื่องและมีสิ่งดึงดูด เร้าใจ(มากๆ ก็ยิ่งดี)
แน่นอนว่า…ห้างสยามพารากอน ย่อมเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของชนทุกวัย ทุกระดับชั้น เพราะที่นี่สามารถสนองตอบต่อทุกความต้องการของทุกผู้คนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ!

2. สยามพารากอน…สมราคา The Pride of Bangkok?

ทุกเมืองท่องเที่ยวชั้นนำของโลก จะต้องมีแหล่งสังสรรค์ บันเทิง หรือช้อปปิ้งขนาดยักษ์ไว้ประดับเมืองทั้งนั้น เพื่อเป็นแม่เหล็ก (Magnet) ดึงดูดนักท่องเที่ยว อาทิ ฮ่องกง (Pacific – Place) สิงคโปร์ (Takashiyama) นิวยอร์ก (5thAvenue) ปารีส (ชอง เอลิเซ่) ลอนดอน (Harrod) เป็นต้น
กล่าวสำหรับกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น และนโยบายผลักดันให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวแห่งอาเซียน(Tourists Hub) ฯลฯ จะสมบูรณ์ได้ก็จำต้องมี Shopping Complex ขนาดยักษ์/หรูหรา/อลังการ ไว้สนับสนุนด้วย…The Pride of Bangkok (สยามพารากอน) จะสานฝันนั้นให้เป็นจริงได้หรือไม่? เราลองมาเจาะลึกเข้าไปดูถึงจุดแข็งและศักยภาพของ “ที่สุดแห่งความภาคภูมิของกรุงเทพมหานคร” ซึ่งตั้งบนทำเลทอง (สยามสแควร์) ของเมืองไทย กันพอหอมปากหอมคอ ดังนี้ครับ

(1)     ความอลังการ (อภิมหาโปรเจ็กต์) บนพื้นที่ 50 ไร่ พื้นที่ใช้สอย 500,000 ตารางเมตร ใช้เม็ดเงินลงทุน15,000 ล้านบาท โดยมีจุดหมายให้เป็น ‘World Class Shopping Destination’ ใหญ่ที่สุดในเอเชีย! โดยประกอบด้วย10 สุดยอดไฮไลท์ อาทิ
(1.1)  โลกแห่งความหรูหรา (Facet of Luxury) โดยเป็นศูนย์กลางอัญมณีและนาฬิกาชั้นนำของโลก เช่น Vanceleet & Arpels, Cartier, Bulgari, Mikimoto เป็นต้น
จากสถิติปี 2004 Switzerland ส่งนาฬิกามาขายในไทยถึง 194.5 ล้านฟรังก์สวิส (5,800 ล้านบาท)ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศผู้คลั่งไคล้นาฬิกาสวิสติดอันดับที่ 13 ของโลก ทั้งๆ ที่นาฬิกาไฮเอนด์ เช่น Patek, Philippe, Vacheron, Frank Muller เป็นต้น สนนราคาเรือนละหลายๆ แสนถึงล้านๆ บาท!…ในอนาคตหากมีการลดหรืองดอากรขาเข้า 40% ตามกฎ FTA ผนวกกับการคืน VAT 7% แก่นักท่องเที่ยว ย่อมทำให้นาฬิกาเหล่านี้มีราคาถูกลง ซึ่งจะช่วยเสริมให้กรุงเทพฯ เป็นอีกทางเลือกช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวทั่วโลก!
(1.2) โลกแห่งแฟชั่น (Facet of Fashion) โดยเป็นศูนย์รวมของแฟชั่นแบรนด์เนมระดับโลกทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น Giorgio Armani, Dolce Cabbana, Bottega Veneta, Jimmy Choo เป็นต้น
                            การผลักดันให้แบรนด์ไทยไปตั้งร้านกระทบไหล่กับแบรนด์ระดับโลกเช่นนี้ นับเป็นผลดี เพราะประหนึ่ง “แจ๊คสู้กับยักษ์ใหญ่” ซึ่งไม่มีอะไรสูญเสีย หากแบรนด์ไทยของเราเกิดฟลุ้กเข้าตาขาใหญ่เหล่านี้ ย่อมเป็นการเปิดช่องทางสู่ตลาดโลกได้ไม่ยาก โดยอาจเป็นในรูปการร่วมทุนกับแบรนด์ดัง หรือขาย Franchise  เป็นต้น ซึ่งสามารถจัดหน่วยภาษี (Tax Entity) และจัดโครงสร้างธุรกิจได้หลายแบบ แต่ละแบบมีข้อดี/ข้อเสีย และภาระภาษีแตกต่างกันไป
(1.3)  โลกแห่งการเรียนรู้และพัฒนาการ  (Facet of  Edutainment & Exploration) คือ โรงเรียนสอนภาษา คอมพิวเตอร์ ดนตรี ศิลปะ และการแสดง โรงเรียนเพื่อพัฒนาการเด็กเล็ก เช่น วิทยาลัยดุริยางศิลป์, Bangkok Dance, Little Gym และ Net Design เป็นต้น รวมถึง Aquarium ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกและทันสมัยที่สุดในเอเชียด้วยงบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท
               ธุรกิจการศึกษา ถือเป็นสิ่งมีประโยชน์ยิ่งยวดต่อเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ดังนั้น รัฐบาลเกือบทุกประเทศจะให้การสนับสนุนส่งเสริมเต็มที่ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้และเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (หรือ Good and Service Tax) ในอัตราต่ำกว่าสินค้าทั่วไป…แต่ในกรณีของประเทศไทย ยกเว้นให้ทั้งหมด - ภาษีเงินได้ (บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล) และภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ เฉพาะกรณีได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงศึกษาฯ (ซึ่งมีระเบียบการและขั้นตอนที่ล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจมาก) แต่ถึงอย่างไรภาครัฐก็ยังส่งเสริมการศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยการยกเว้น VATสำหรับการขายนิตยสาร สิ่งพิมพ์ ตำราเรียนอีกทอดหนึ่งด้วย ดังนั้นจึงสบายใจได้ว่าผู้ทำธุรกิจด้านนี้จะปลอดภัยไร้กังวลด้านภาษีทั้งปวง!
                    ผู้เขียนชอบแวะดูสินค้าที่ร้าน Asia Books และ Kinokuniya (พื้นที่ 2,000 ตร.เมตร) ซึ่งเป็นร้านขนาดใหญ่มากที่ขายนิตยสารและตำราต่างประเทศ แม้ว่าจะมีลูกค้าแวะเวียนเข้าออกจำนวนพอสมควร แต่ก็ยังเทียบเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก สาเหตุคงเป็นที่ปัญหาภาษา (อังกฤษ) และราคาขายยังแพงมากอยู่ แม้จะไม่ต้องเสีย VAT 7%ก็ตาม…จึงไม่ต้องสงสัยว่าเหตุใดผลทดสอบ IQ และ EQ ของนักเรียนไทยจึงได้คะแนนต่ำกว่ามาตรฐานสากล!
(1.4) โลกแห่งความบันเทิง  (Global Entertainment Phenomenon) ซึ่งประกอบด้วยโรงภาพยนตร์Cineplex ที่ทันสมัย 16 โรง (รับผู้ชมได้ถึง 5,000 คน) โรงภาพยนตร์ Imax 3 มิติ ขนาด 600 ที่นั่ง สถานออกกำลังกาย(California Wow) โรงละคร Siam Opera (ความจุ 6,000 ที่นั่ง) ซึ่งถือเป็นแหล่งดูหนัง ฟังเพลงขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดของไทย ที่ไม่มีชาติไหนเลียนแบบได้ (แฮ่ๆ) จนมีคำกล่าวกันในหมู่นักธุรกิจว่า “ไม่มีแหล่ง entertain ใดๆ ในโลกจะดีและถูกเท่าประเทศไทยอีกแล้ว!” (เอ! จะอายหรือภูมิใจดีหนอ?)
(1.5) Paragon Department Store - The Shopping Phenomenon ด้วยขนาดพื้นที่ถึง 80,000ตารางเมตร (ว้าวว!) และสินค้านับแสนรายการที่ถูกคัดสรรมาสนองตอบอย่างจุใจ
                            จะเป็นด้วยขนาดพื้นที่ที่ใหญ่เกินไปหรืออย่างไร จึงทำให้บางชั้น บางแผนกยังมีลูกค้าบางตา ซึ่งก็คงเหมือนๆ กับห้างสรรพสินค้าชั้นนำอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศนั่นแหละ ที่ต้องเผชิญกับสภาพการแข่งขันรอบด้าน จึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์และแคมเปญการตลาดหลั่งไหลออกมาตลอดทั้งปี (ด้วยงบ 300 ล้านบาท) เช่น การหมุนเวียนลด แลก แจก แถม  การให้ส่วนลด 10% - 20% การจัดนิทรรศการและงานแสดงสินค้า ณ Grand Hall เช่น เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2549 คืองาน ‘Bangkok World Watch & Jewelry 2006’ ที่สยามพารากอน ซึ่งข่าวว่าจัดงาน 19 วัน ฟันยอดขายไปถึง 300 ล้านบาท เชียว!
            คู่แข่งสำคัญของห้างสรรพสินค้าก็คือ ระบบการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต (e – commerce) ซึ่งเป็นเสมือนสงครามกองโจรที่กลุ่มธุรกิจ SME ใช้เป็นกลยุทธ์ติดต่อค้าขายกับลูกค้าทั่วโลก…ธุรกิจ e – commerce จึงเป็นปัญหาที่สรรพากรของประเทศต่างๆ กำลังปวดเศียรว่าจะสืบทราบธุรกรรมว่ามีการค้าได้อย่างไร และที่ไหน กล่าวคือประเทศใดเป็นจุดที่เกิดแหล่งเงินได้ (source country) เพื่อจะได้ไม่ขัดแย้งกับประเทศถิ่นที่อยู่ (Residence Country)เป็นต้น

(2) การร่วมพันธมิตรธุรกิจ อภิมหาโปรเจ็กต์ ‘สยามพารากอน’ เป็นการร่วมทุน (Joint Venture) ฝ่ายละ50% ระหว่างค่าย The Mall Group-The Emporium และบริษัทสยามพิวรรธน์ (ศูนย์การค้าสยามและโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนทัล) ซึ่งถือว่าทั้ง 2 กลุ่ม เคยเป็นคู่แข่งขันทางธุรกิจ แต่หันมาจับมือผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกัน เพื่อครองความเป็นผู้นำทางธุรกิจเหนือคู่แข่งทั้งมวล
‘เกรียงศักดิ์  ตันติพิภพ’  (Chief Marketing Officer) เปรียบเทียบ The Emporium เหมือน Paris คือ เล็กกระชับ แต่มีความโก้และหรู ส่วน Siam Paragon เสมือน New York คือ มีความยิ่งใหญ่ตื่นตาตื่นใจ มีความสนุกสนาน มีชีวิตชีวา ดังนั้น วิสัยทัศน์ทางธุรกิจ (Corporate Concept) จึงวางให้ ‘พารากอน’ เป็น World Class Shopping Destination ส่วนห้างดิเอ็มโพเรียมก็จะมีภาพลักษณ์เป็น Ultimate Shopping Complex
การร่วมพันธมิตรธุรกิจครั้งนี้ ได้จัดตั้งเป็น ‘บริษัทสยามพารากอน รีเทล จำกัด’ ด้วยทุนจดทะเบียน 600ล้านบาท ถือหุ้น    ฝ่ายละ 50 : 50 กรณีจึงถือว่าเกิดหน่วยภาษี (Tax Entity) ใหม่ ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา30% ของกำไรสุทธิ และเสีย VAT 7% จากรายได้ค่าบริการ (%GP) ที่เรียกเก็บจากการรับฝากขายสินค้า (Consignment)รวมถึงรายได้จากค่าเซ้งพื้นที่ของร้านค้าย่อยทั้งหลายในศูนย์การค้า ฯลฯ ส่วนเงินปันผล (ถ้ามี) ที่จ่ายแก่บริษัทผู้ถือหุ้นทั้ง 2 ราย นั้น ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (ม.65 ทวิ (10)             แห่งประมวลรัษฎากร)
แฮ่ๆ กรณีนี้ หากเปลี่ยนโครงสร้างการถือหุ้น เป็นรูปบุคคลธรรมดาและนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการเครดิตภาษีเงินปันผลตาม ม.47 ทวิ  ยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายหุ้น(Capital Gain) อีกต่างหาก…และหากขอ BOI ได้ด้วย ก็จะยิ่ง Happy Ending มากๆ เลยจ้า!

(3)   Royal Paragon Hall  ซึ่งมีพื้นที่จัดประชุมขนาด 15,000 ตร.เมตร ออกแบบให้เป็น State of the Artด้วยความสมบูรณ์แบบและโดดเด่น พร้อมระบบแสง สี เสียง และอุปกรณ์ไฮเทคที่ทันสมัยมาก จึงเหมาะกับการจัดงานมหกรรมขนาดใหญ่ระดับโลกได้เลย
พอกล่าวถึงเรื่องศูนย์ประชุม/ศูนย์แสดงสินค้าขนาดใหญ่เช่นนี้ ทำให้นึกไปถึง ‘ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์’ ซึ่งมีความสวยงามและได้มาตรฐานสากลเพียงไม่กี่แห่งของไทย รวมถึงการเพิ่มศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ตามเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่นภูเก็ต เชียงใหม่ เป็นต้น ก็จะช่วยเสริมให้การสร้างฝัน การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของอาเซียนให้เป็นจริงได้!
กล่าวสำหรับ Royal Paragon Hall ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะประสบความสำเร็จได้ดีก็ต้องรอให้ส่วนของโรงแรมสร้างเสร็จสมบูรณ์ เพื่อให้ผู้เข้าประชุมเข้าพักพร้อมสรรพ!
ความจริง โรงแรม 5 ดาว (พื้นที่ 20 ไร่ ที่ด้านหลังห้างฯ) ภายใต้การบริหารของเครือโรงแรม Royal Kempinski โดยแวดล้อมด้วยสวนและหลากพันธุ์ไม้ต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กขนาดใหญ่ ที่จะสร้างมนต์ขลังให้แก่ห้างพารากอน โดยต่างเสริมส่งซึ่งกันและกันให้ธุรกิจร่ำรวยยิ่งขึ้น (และรถติดมากขึ้น) เป็นทวีคูณ (แฮ่ม!)
ในแง่ของศูนย์การค้าขนาดใหญ่เช่นนี้ ต้องยอมรับว่าพื้นที่บางส่วนอาจได้กำไรน้อย/หรือขาดทุน แต่ก็จำต้องมีไว้เพื่อเป็นแม่เหล็ก (Magnet) ดึงดูดลูกค้า/สร้างความคึกคัก เพื่อสามารถขายพื้นที่แก่ร้านค้าย่อยได้ง่าย ซึ่งถือเป็นรายได้หลักที่เป็นก้อนและเป็นกอบเป็นกำ…ซึ่งในภาพรวมต้องยอมรับว่าวันนี้ของ ‘สยามพารากอน’ กลับประสบความสำเร็จเกือบทุกภาคส่วน!



ที่มา : อมรศักดิ์ พงศ์พศุตม์


BrandAge Magazine


วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เปิดศึกห้างสรรพสินค้า ตอนที่ 1


1. เจาะเพลงยุทธ์ ìเซ็นทรัลî...ราชันค้าปลีกไทย

     ตระกูล "จิราธิวัฒน์" เริ่มต้นจากธุรกิจค้าปลีกเล็กๆ ย่านฝั่งธนบุรีชื่อ ìเข่ง เส่ง หลีî และย้ายมาอยู่ที่ถนนเจริญกรุงในชื่อใหม่ว่า "ห้างเซ็นทรัลเทรดดิ้ง" (ราว พ.ศ. 2460-แปลว่า "ที่เป็นใจกลาง/ศูนย์กลางของสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าที่สุด")

     ปัจจุบัน เซ็นทรัล มีถึง 18 สาขา (รอเปิดเพิ่มในปี 2555-2556 อีก 5 สาขา ในต่างจังหวัด) ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวต่างๆ โดยตั้งเป้าขายปี 2555 ไว้ที่ 230,000 ล้านบาท! (รวมรายได้จากห้าง La Rinascente (อิตาลี-ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัล เข้า take over เมื่อเดือนพฤษภาคม 2554) และยอดขายจาก Big C และ Carrefour) และกำลังวางแผนขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เช่น เฉินตู (จีน) อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และพม่า เป็นต้น

     แน่นอนว่า อาณาจักรของเซ็นทรัล ซึ่งเติบโตอย่างมั่นคง แข็งแกร่ง โดยไม่เคยซวนเซไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจ ขาขึ้นหรือขาลง ย่อมเกิดจากวิสัยทัศน์และความสามารถ น่าถือเป็นกรณีศึกษาพอสังเขปดังนี้

     (1) จุดเด่น หรือจะเรียกว่าจุดขายก็คือ การเป็นผู้นำแฟชั่นที่มีคุณภาพ และคัดสรรเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า จนได้รับรางวัล GIA Award และ "Best of the Best" จาก Retail Asia Magazine ในแง่การบริหารงานแม้จะใช้ระบบ "กงสี" คือ ผลักดันลูกหลานของตระกูลขึ้นบริหารบริษัทในเครือต่างๆ แต่บุคลากรเหล่านี้ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่มีความรู้ความสามารถแบบมืออาชีพ ผนวกกับการนำระบบเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สะดวกและทันสมัย ความเข้าใจถึงความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยยอมลงทุนพัฒนาระบบ Customer 

     Relationship Management (CRM) การฝึกอบรมพนักงานและดูงานในต่างประเทศอยู่เสมอ การคัดเลือกสินค้า ระบบการตลาด และกลยุทธ์การส่งเสริมการขายที่โดดเด่น ฯลฯ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมชื่อของ "เซ็นทรัล" จึงติดหู ติดตา และติด (อยู่ใน) ใจ ของผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้!

     (2) ศูนย์การค้า เซ็นทรัล เวิลด์ โครงการลงทุน 26,000 ล้านบาท ในปี 2551 มีพื้นที่ 830,000 ตารางเมตร แยกเป็นช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ 550,000 ตารางเมตร ถือเป็นโครงการศูนย์การค้าใหญ่ที่สุดของไทย!

     จุดเด่นของ "เซ็นทรัล เวิลด์" ก็คือ มีพื้นที่ค้าปลีกใหญ่ที่สุด มีศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ที่สุด มีซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่กว่าแห่งอื่นถึง 3 เท่า โดยมีลูกค้าประมาณ 150,000 ราย ต่อวัน โดย 50,000 คน จะเป็นนักท่องเที่ยวจากสิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และเกาหลี เป็นต้น

     ในมุมธุรกิจ ด้วยเม็ดเงินลงทุนที่สูงถึง 26,000 ล้านบาท คิดเฉลี่ยเป็นค่าเสื่อมราคาต่อปี (ทั้งอาคารและส่วนตกแต่ง) ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท/ปี บวกกับรายจ่ายในการขายและบริหาร เทียบกับรายได้จากการให้เช่าพื้นที่ระยะยาว/ค่าเช่ารายปี และเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งจากการขาย ฯลฯ ย่อมมีโอกาสขาดทุนในช่วงเริ่มแรก (รวมถึงผลขาดทุน และการลงทุนซ่อมแซมจากการถูกไฟไหม้ในเหตุการณ์การเมือง ปี 2553) ซึ่งกฎหมายภาษียอมให้นำขาดทุนสะสมดังกล่าวยกไปหักเป็นรายจ่ายได้เพียงไม่เกิน 5 ปี (ม.65 ตรี (12)) ดังนั้น จึงต้องวางแผนภาษีในประเด็นรายได้/รายจ่ายดังกล่าวให้เหมาะสม!

     (3) ธุรกิจ Specialty Store เป็นการเจาะกำลังซื้อเป็นรายเซ็กเมนต์ โดยการแตกธุรกิจออกเป็นศูนย์การค้าเซ็นทรัล โรบินสัน ท็อปส์ 

     ซูเปอร์มาร์เก็ต เพาเวอร์บาย (อุปกรณ์ไฟฟ้า) B2S (เครื่องเขียน) ออฟฟิศ ดีโป (เครื่องใช้สำนักงาน) โฮมเวิร์ก (อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน) เซ็นทรัลออนไลน์ (ช็อปปิ้งผ่านอินเตอร์เน็ต) ซึ่งครอบคลุมของใช้อุปกรณ์ในชีวิตประจำวันครบเซต ในเชิงธุรกิจ การแตกบริษัทในเครือแยกย่อยออกไปมากมายเช่นนี้ มีข้อดีที่ทำให้การบริหารงานคล่องตัว มี ประสิทธิภาพ และคุณภาพในเชิงบริหาร และสามารถสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้าได้ครบถ้วนเต็มที่ แต่อาจมีข้อแย้ง (จุดอ่อน) ในแง่การบริหารภาษีอากรหลายประการ เช่น กรณีมีรายการค้าระหว่างกันของบริษัทในเครือ เช่น ยืมสินค้า การใช้พื้นที่ร่วมกัน การปันส่วนรายจ่าย การมีโปรแกรมส่งเสริมการขายร่วมกัน การให้ความช่วยเหลือระหว่างกัน การกู้ยืม เงินทุนหมุนเวียนกัน เป็นต้นนั้น ล้วนเป็นประเด็นภาษี (tax issues) ที่อาจต้องถูกประเมินรายรับหรือค่าตอบแทนระหว่างกันตามราคาตลาด (ม.65 ทวิ (4)) และอาจมีประเด็นภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เกิดขึ้นได้เป็นต้น นอกจากนั้น กรณีที่กิจการใดเกิดผลขาดทุน (taxable losses) ก็ไม่อาจนำไปหักกลบกับบริษัทที่มีกำไร จึงอาจต้องชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงกว่าที่ควรจะเป็น!

     (4) เซ็นทรัลกรุ๊ป ซึ่งแบ่งการบริหารออกเป็น 5 กลุ่มธุรกิจหลักคือ ธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ค้าส่ง โรงแรม และภัตตาคารนั้น จะเห็นได้ว่าล้วนเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และเกื้อหนุนกัน เข้าทำนอง ìห้าเสือพลังช้างเอราวัณî ซึ่งขอยกเป็นตัวอย่างพอสังเขปดังนี้

     (4.1) เซ็นทรัลลาดพร้าว ซึ่งเพิ่งได้รับการต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟฯ 30 ปี จากที่ดินเดิมซึ่งเป็นกองขยะไม่มีราคา ค่างวดใดๆ ครั้นพอปักป้ายว่าจะก่อสร้างเป็นโรงแรมและศูนย์การค้า+พลาซ่า ก็สามารถเพิ่มมูลค่า (value added) แก่ที่ดินข้างเคียงทันที ซึ่งหาก (สมมติว่า) มีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ ก็ย่อมสามารถขึ้นโครงการบ้านจัดสรร/คอนโดฯ/อาคารพาณิชย์ สร้างกำไรมหาศาล โดยกำไรสุทธิหลังภาษี (earning after tax) อาจสูงท่วมมูลค่าเบื้องต้นของที่ดินทั้งผืน ทำให้เสมือนได้ที่ดินในส่วนของโครงการศูนย์การค้า/พลาซ่า/โรงแรม มาฟรีๆ ด้วยซ้ำ! รายได้หลักอีกส่วนหนึ่งก็คือ รายได้ค่าเช่าระยะยาว ก็คือ ค่าแป๊ะเจี๊ยะจากการเซ้งพื้นที่ในส่วนของพลาซ่า ซึ่งสามารถกระจายการรับรู้รายได้ตามอายุสัญญาเช่าถึง 30 ปี (ป.73/2541 ข้อ 2(1) (ก)) ทำให้ประหยัดภาษีเงินได้นิติบุคคล จำนวนมหาศาล ซึ่งถ้าจินตนาการต่อไปถึงขั้นการนำบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็ยังมีแง่มุมให้วางแผนภาษีอีกหลายส่วน อาทิ พ.ร.ฎ. #467 (พ.ศ. 2550), พ.ร.ฎ.#474, 475 (พ.ศ. 2551), พ.ร.ฎ.# 531 (พ.ศ. 2554) ได้ให้สิทธิการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือเพียง 25% (ในช่วงปี 2551-2554 ตามลำดับ) ส่วนเงินปันผลที่ได้รับก็ยังมีโอกาสยกเว้น/ลดหย่อนภาษีเงินได้ตามนัยมาตรา 65 ทวิ (10) และ 47 ทวิ เป็นต้น!

     (4.2) ธุรกิจโรงแรม อาหาร และบันเทิง แม้ว่าบุคลากรในครอบครัวของเซ็นทรัล จะมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูง แต่การรบรุกในวงการนี้จำเป็นต้องว่าจ้างหรืออิง franchise chain จากต่างประเทศ เพื่อผลด้านการตลาดสำหรับลูกค้าคนไทย และต่างชาติ เช่น โรงแรมดัง "พาร์คไฮแอท" ในโครงการ "เซ็นทรัล เอ็มบาสซี" (ซึ่งจะเปิดในไตรมาส 4 ปี 2556) และแบรนด์อาหารชั้นนำ อาทิ Beard Papa, Auntie Anneís, Mister Donut, ชาบูตง เป็นต้น

     รูปแบบในการร่วมธุรกิจกับต่างชาติ ทำได้หลายลักษณะ เช่น ว่าจ้างบริหาร/ร่วมทุน/จ่ายค่า franchise เป็นต้น ซึ่งแต่ละกรณีจะมีภาระภาษีแตกต่างกัน เช่น การจ่ายค่าจ้าง/ค่าสิทธิ อาจต้องออกภาษี ณ ที่จ่าย แทนบริษัทต่างประเทศ ส่วนกรณี จ่ายเงินปันผลจะมีอัตราภาษี ณ ที่จ่าย ต่ำเพียง 10% เป็นต้น ขณะนี้ (ปี 2555) กลุ่มเซ็นทรัล มีโครงการลงทุนขนาดยักษ์หลายโครงการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศประมาณ 30,000 ล้านบาท อาทิ โครงการ ìเซ็นทรัล เอ็มบาสซีî (เพลินจิตซิตี้-เนื้อที่ 9 ไร่ ของสถานทูตอังกฤษ (เดิม), โครงการศูนย์การค้าเซ็นทรัล (เฉินตู-จีน) เป็นต้น นั้นการเลือกแหล่งเงินทุน (source of fund) ย่อมมีผลต่อการบริหารเงิน และบริหารภาษี เช่น ยืมจากสถาบันการเงิน แม้ดอกเบี้ยจ่ายจะเป็นภาระทางการเงินที่กระทบต่อเงินทุนหมุนเวียน แต่สามารถหักเป็นรายจ่ายและลดภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ซึ่งจะแตกต่างจากการเพิ่มทุนจดทะเบียน เพราะเงินปันผลมิใช่ taxable expenses

     (4.3) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) โดยมีบริษัท เซ็นทรัลโฮลดิ้ง จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (27%) โดย CPN ใช้วิธีระดมทุนผ่านกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ "CPN รีเทลโกรท" (CPNRF) โดยมีมูลค่าการตลาด (market capitalization) ณ กุมภาพันธ์ 2555 ประมาณ 90,000 ล้านบาท (ROBINS 48,000 ล้านบาท และ CENTEL 15,000 ล้านบาท) จึงอาจกล่าวได้ว่า CPN และ ROBINS ต่างก็เป็น ìเรือธงî (flagship) ของธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจห้างสรรพสินค้าตามลำดับ

     กล่าวในมุมภาษีอากร การที่ Central Group และ CPN มีรายการค้าระหว่างกันทั้งในแง่ลูกหนี้/เจ้าหนี้การค้า เงินกู้ยืม เงินลงทุน กรณีย่อมเกิดประเด็นภาษี (tax issues) ตามมาหลายประการ อาทิ การไม่คิดค่าบริการ หรือมีรายการค้าที่ไม่เป็นไปตามราคาตลาด (มาตรา 65 ทวิ (4)) เป็นต้น นอกจากนั้น การให้ CPN (บริษัทจดทะเบียนฯ) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (เกิน 25%) ในบริษัทในเครือ ทำให้เงินปันผลของ CPN ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร อนึ่ง การบริหารรายการค้าระหว่างกัน ดังกล่าว อาทิ ในแง่การบริหารการเงิน (source and use of fund) อันได้แก่ เงินสด เงินกู้ยืม การจ่ายเงินปันผล กำไรสะสม การให้บริการระหว่างกัน เป็นต้น หากมีการวางแผนภาษีให้เหมาะสมย่อมสามารถประหยัดภาษีอากรลงมาได้ทั้งภาษีในระดับบริษัท และในระดับผู้ถือหุ้น (shareholders)

     (5) การขยายลงทุนในต่างประเทศ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 CPN ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นให้เข้าซื้อหุ้นสามัญ 9,994 หุ้น (จากทุนจดทะเบียน 10,000 หุ้น) จากบริษัท ซีพีเอ็นโกลบอล จำกัด เพื่อรองรับการขยายกิจการในต่างประเทศ ในระหว่างปี 2553 CPN Global ได้จัดตั้งบริษัทในฮ่องกง 2 บริษัท และประเทศจีน 1 บริษัท การที่บริษัทในไทยมีสัดส่วนการถือหุ้น ในต่างประเทศ เกิน 25% กรณีย่อมได้สิทธิยกเว้นภาษีเงินปันผลตาม พ.ร.ฎ.#442 และเมื่อ CPN Global จ่ายเงินปันผลแก่ CPN กรณีก็ได้รับการยกเว้นภาษีเงินปันผล ตามมาตรา 65 ทวิ (10) อีกทอดหนึ่ง (อนึ่ง ตามกฎหมายภาษีของฮ่องกง ไม่มีการจัดเก็บภาษีจากเงินได้ทางอ้อม (passive incomes) เช่น เงินปันผล (capital gains) เป็นต้น)


ที่มา : อมรศักดิ์ พงศ์พศุตม์
หมอภาษี
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556